‘เพอร์เฟค แพคเกจจิ้ง’ โรงพิมพ์ฉลากติดจรวด

                                                                                       ขันติ ลาภณัฐขันติ    เรื่อง/ภาพ

ต่างเป็นที่รู้กันในวงการการพิมพ์ว่า บริษัท เพอร์เฟค แพคเกจจิ้ง จำกัด เป็นโรงพิมพ์บรรจุภัณฑ์อ่อนประเภทอาหารและยา  มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วประหนึ่งเป็นโรงพิมพ์ติดจรวด เพราะเพียงแค่ดำเนินการมาไม่กี่ปีแรกก็สามารถจัดอันดับอยู่ในระดับท็อปเท็นของเมืองไทย ปัจจุบันดำเนินการมาแล้ว 27 ปี แต่ก็เขิน ๆ ที่จะบอกว่า เป็นโรงพิมพ์ที่ชั้นนำที่ไม่เป็นสองรองใคร

คุณชาญชัย พึ่งพระรัตนตรัย กรรมการผู้จัดการ ให้ข้อมูลว่า เริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเป็นลูกจ้างอยู่ในธุรกิจการพิมพ์บรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ช่วงอายุ 18-19 ปี  ไต่เต้าตั้งแต่เป็นเด็กส่งของ เป็นพนักงานเก็บเงิน จนกระทั่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ขณะอายุได้ 27 ปี แต่เมื่อถึงช่วงอายุ 28-29 ปี คุณชาญชัยพูดด้วยความมั่นใจว่า ถึงเวลาที่ต้องเป็นเจ้าของกิจการเอง

จึงร่วมหุ้นกับเพื่อน ๆ เปิดโรงงานพิมพ์บรรจุภัณฑ์ขึ้นมาใหม่แห่งหนึ่ง อาจจะเรียกว่าเป็นคู่แข่งเล็ก ๆ ของโรงพิมพ์เดิมก็ได้ เพราะมีการดำเนินการคล้าย ๆ กัน แต่เมื่อสร้างกิจการเติบโตมาด้วยกันได้ 15 ปี ก็มีอันต้องแยกวง เพราะเป้าหมายของหุ้นส่วนเปลี่ยนไปในลักษณะที่ต้องการเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะต้องการ “เล่นหุ้น” ขณะที่คุณชาญชัย ต้องการสร้างกิจการด้วยฐานที่เป็นความจริงมากกว่า

จึงแยกตัวออกมาเปิดโรงพิมพ์ใหม่อีกครั้งเมื่อปี 2537 และเป็นของคนเดียวล้วน ๆ ในช่วงที่คุณชาญชัยอายุ 45 ปี ภายใต้ชื่อ บริษัท เพอร์เฟค แพคเกจจิ้ง จำกัด ซึ่งยืนยาวมาถึงปัจจุบันและกำลังกล่าวถึงกันในฐานะที่กิจการเติบโตเร็วแบบติดจรวดในวันนี้

โรงพิมพ์เพอร์เฟคฯ ก่อร่างสร้างตัวเริ่มต้นจากศูนย์ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2537 ด้วยทุนจดทะเบียน 8 ล้านบาท มีพนักงานรวมทั้งหมด 12 คน ใช้พื้นที่โรงงาน 1,600 ตรม.ดำเนินการอยู่ย่านเอกชัย ทำการผลิตบรรจุภัณฑ์อ่อนให้ลูกค้าด้วยเครื่องจักรที่ประกอบขึ้นในประเทศไทย แต่อาศัยประสบการณ์ที่มีอยู่ในวงการมาอย่างยาวนาน จึงทำให้กิจการดำเนินเริ่มต้นด้วยดี

เพียง 1 ปีถัดมา คือปี 2538  กิจการก็มองเห็นแนวโน้มเติบโตชัดเจน จึงนำเข้าเครื่องพิมพ์ 5 สีจากประเทศญี่ปุ่น และเครื่องเคลือบพลาสติกจากเกาหลี มาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตสินค้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  และเมื่อเวลาผ่านไปเพียง 5 ปี ก็มีผลสัมฤทธิ์ เมื่อมียอดขายถล่มทลายแซงหน้าบริษัทเก่าไปเลย

ปี 2545 กิจการโรงพิมพ์ถึงเวลาที่ต้องขยายใหญ่ แต่สถานที่เดิมคับแคบ จึงต้องย้ายฐานการผลิตมาอยู่โรงงานแห่งใหม่ที่ทันสมัยในปัจจุบัน โดยมีพื้นที่ที่ใช้เป็นฐานกำลังการผลิต 9,600 ตรม. เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 16 ล้านบาท นำเข้าเครื่องพิมพ์ 8 สีและเครื่องเคลือบพลาสติกจากญี่ปุ่น รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ที่มีการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง

ปี 2548 ได้เพิ่มกำลังการผลิตอีกครั้ง ด้วยการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 32 ล้านบาท นำเข้าเครื่องพิมพ์ 8 สี ระบบ Sectional Drive พร้อมระบบตรวจสอบงานพิมพ์ (Inspection System) และเครื่องเคลือบพลาสติกจากประเทศอิตาลี เพื่อรองรับงานบรรจุภัณฑ์ที่ไม่มีการใช้สารทำละลาย (Solvent) ในกระบวนการผลิต อีกทั้งนำเข้าสู่ระบบ ISO 9001:2000 เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพสินค้าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า

ปัจจุบันบริษัท เพอร์เฟค แพคเกจจิ้ง จำกัด ดำเนินการด้วยเครื่องพิมพ์และเครื่องจักรที่ทันสมัยอย่างครบครัน มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของลูกค้า และจะพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อความมุ่งมั่นสู่ความเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ต่อไป

เหตุผลของการเติบโตเร็ว คุณชาญชัยอธิบายว่า อันดับแรกเป็นเพราะมองทิศทางตลาดออกว่า จะดำเนินไปในทิศทางไหน อย่างเช่น เทรนด์ของบรรจุภัณฑ์ในยุคปัจจุบันและอนาคตจะเปลี่ยนไปอย่างไร ก็จะมีการนำเสนอให้ลูกค้าทราบ  โดยการทำงานผลิตมีทั้ง 2 รูปแบบคือ ออกแบบแล้วเสนอให้ลูกค้า และผลิตตามแบบที่ลูกค้าสั่งมา

“เทรนด์แพ็คเกจจิ้งมันเปลี่ยนตลอดเวลา อย่างเช่น น้ำยาปรับผ้านุ่มสมัยก่อนจะเป็นขวดตั้ง  แต่เดี๋ยวนี้จะเป็นถุงรีฟิวแบบใช้เติม เดี๋ยวนี้แทบเป็นอย่างนั้นหมดเลย ในอนาคต สิ่งหนึ่งที่จะก้าวมาเร็วมากก็คือ ซองบรรจุอาหารซึ่งสามารถเข้าเครื่องเวฟได้ หรือกรณีผักกาดดอง,ปลากระป๋อง จากที่เคยใช้กระป๋อง ก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้ซอง เพราะโลหะกระป๋องมันแพงมาก ต่างประเทศก็เริ่มเปลี่ยนเป็นถุงหมดแล้ว”

คุณชาญชัยระบุว่า อนาคตผู้ผลิตวัตถุดิบก็พยายามจะพัฒนาอะไรก็ตาม เพื่อหนีปัญหาโลกร้อน รวมทั้งพยายามจะหนีวัตถุดิบที่เป็นพลาสติกด้วยส่วนหนึ่ง โดยจะเป็นวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้  ซึ่งบริษัท เพอร์เฟค ฯ แม้ไม่ได้พัฒนาขึ้นเอง แต่ก็พยายามสั่งซื้อวัสดุพวกนี้มาใช้

‘โกโกพริ้นต์’ โรงพิมพ์ออนไลน์นับวันยิ่งแกร่ง

สภาพการณ์ของธุรกิจการพิมพ์ไทยที่อ่อนไหวอย่างหนักในหลายปีมานี้ กลับปรากฏชื่อ “โกโกพริ้นท์” ด้วยสัญลักษณ์โลโก้ “gogoprint” กระหน่ำโฆษณาตัวเองเป็นโรงพิมพ์ออนไลน์ของประเทศไทย ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ค, กูเกิ้ลแอดและยูทูปอย่างหนัก ซึ่งได้ผลดีเกินคาด เมื่อผู้ประกอบการรายนี้สามารถยืนยงอยู่ในไทยมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี ทั้งที่เป็นชาวต่างชาติ

มร.เดวิด แบร์กฮอยเชอร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกโกพริ้นต์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่สัญชาติเยอรมัน มองเห็นระบบดิจิตอลเข้ามามีบทบาทในโลกยุคปัจจุบัน และมีผลกระทบทำให้คนอ่านหนังสือลดน้อยลงไปบ้าง แต่ส่วนตัวเชื่อว่า ธุรกิจงานพิมพ์จะยังคงอยู่ได้“โกโกปริ้นต์”จึงได้เข้ามาทำตลาดเมืองไทยเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว วางเป้าหมายเจาะลูกค้ากลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ใช้สิ่งพิมพ์ในการประชาสัมพันธ์ธุรกิจ สินค้าและบริการ ผ่านชิ้นงานสิ่งพิมพ์ประเภทนามบัตร แผ่นพับ โบรชัวร์ โปสเตอร์ โปสการ์ด ใบปลิว แฟ้มเอกสาร ฯลฯ

สาเหตุของการเลือกทำธุรกิจรับงานพิมพ์ออนไลน์ในตลาดเมืองไทย เริ่มต้นจากที่ มร.เดวิด เคยเข้ามาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่สาขาวิชาการบริหารธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2554  ประมาณ 2 ปี จากนั้นมีโอกาสได้ทำงานที่เมืองไทยกับบริษัท ซาโลร่าฯ (ZALORA) เว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ทางด้านธุรกิจค้าปลีกสินค้าแฟชั่นและความงาม มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ แต่มีสาขาอยู่ในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ อีก 6 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และบรูไน ทำให้เล็งเห็นช่องทางการทำตลาดออนไลน์

“เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ธุรกิจอีคอมเมิร์ชในเมืองไทยยังไม่แพร่หลายมากนัก จึงสนใจว่า น่าจะมีอนาคตที่ดีเหมือนที่เยอรมัน ในส่วนตัวผมก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง บังเอิญมีเพื่อนไปทำออนไลน์พริ้นติ้งที่ประเทศบราซิล กิจการเติบโตประสบความสำเร็จด้วยดี และยิ่งได้เห็นราคานามบัตรที่พิมพ์ที่เยอรมันเทียบกับไทยพบว่า พิมพ์ที่เยอรมันถูกกว่า ทั้ง ๆ ที่เยอรมันต้องนำเข้ากระดาษ  จึงมองเห็นโอกาสและช่องว่างว่า ถ้าทำธุรกิจการพิมพ์ออนไลน์ที่ไทย น่าจะประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกับเพื่อนที่บราซิล”

สำหรับจุดแข็งที่แตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น คือ งานพิมพ์คุณภาพดีเยี่ยมในราคาย่อมเยา พร้อมทั้งมีการจัดส่งสินค้ารวดเร็ว ขณะที่ขั้นตอนการสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ซึ่งเป็นหน้าร้านก็ง่ายและสะดวก สามารถสั่งซื้อผ่าน www.gogoprint.co.th ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ถือเป็นการให้บริการที่ตอบตรงโจทย์ผู้ประกอบการเอ็มเอ็มอี

มร.เดวิด กล่าวว่า ที่ผ่านมา “โกโกพริ้นต์” รุกทำตลาดออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ค กูเกิ้ลแอดและยูทูปเป็นหลัก ภายใต้ทีมงานที่แข็งแกร่งประมาณ 50 คน ประกอบด้วย ทีมดูแลลูกค้า (Customer Service), ทีมเขียนบล็อกเพื่ออัพเดทบริการ รวมทั้งให้ความรู้ทางด้านการพิมพ์แก่ลูกค้าด้วย เช่น การเคลือบมันเคลือบด้าน, อาร์ตเวิร์คที่เหมาะสมสำหรับการพิมพ์ให้ได้คุณภาพ เป็นต้น ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผลตอบรับดีมาก โดยเฉพาะงานพิมพ์นามบัตรและโบว์ชัวร์

“เราได้ผู้ร่วมงานที่ดี ได้โรงพิมพ์ที่ดีมาเป็นพาร์ตเนอร์ มีการคัดเลือกโรงพิมพ์ที่ได้มาตรฐาน มีคุณสมบัติตามที่เราวางไว้ชัดเจน เรารู้ว่าแต่ละโรงพิมพ์มีจุดแข็งอะไร ถนัดอะไร แล้วก็แบ่งส่งงานให้ตามจุดแข็งและความถนัด ทำให้ลูกค้าได้งานคุณภาพที่ตรงเวลา โดยเรามีทีมงานตรวจสอบคุณภาพก่อนส่งตรงถึงมือลูกค้าด้วย”

มร.เดวิด กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ถ้ามีโรงพิมพ์ออฟเซ็ตหรือโรงพิมพ์อิงค์เจ็ตที่สนใจเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ธุรกิจออนไลน์ด้วยกัน  ก็ยินดีมาก และไม่อยากให้มองว่า  “โกโกปริ๊นต์”เข้ามาเป็นคู่แข่งโรงพิมพ์ดั้งเดิมในเมืองไทย แต่อยากให้มองว่า เข้ามาทำงานด้วยกัน พัฒนาตลาดให้เติบโตไปด้วยกัน

‘โรงพิมพ์ด่านสุทธา’สู่จุดสูงสุดพร้อมปรับทิศธุรกิจ

                                                                                           ขันติ ลาภณัฐขันติ... เรื่อง/ภาพ

บันไดทางเดินของโรงพิมพ์ด่านสุทธาก้าวสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดช่วงที่ผ่านมา ผ่านร้อนหนาวผจญฝนฟ้ามาแล้วถึง 45 ปี แม้ระหว่างทางเดินจะมีช่วงขั้นบันไดลานกว้างเป็นจุดพักบ้าง แต่ก็ยังคงสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้เรื่อย ๆ กระนั้นก็หาใช่ว่า ไม่มีอุปสรรคอะไรเลย ซึ่งก็คงจะเป็นคำกล่าวที่เกินจริง

คุณปฐม สุทธาธิกุลชัย ประธานกรรมการ บริษัท ด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด เรียกว่า ธุรกิจเหมือนน้ำขึ้นน้ำลงปรับตัวตลอดเวลา

บ่อยครั้งที่โรงพิมพ์ด่านสุทธาโตแบบสวนกระแส  บางครั้งหยุดชะงักบ้างตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ดังที่เคยกระทบหนักมาแล้วในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่แตกเมื่อปี พ.ศ.2540 แต่ก็ผ่านไปด้วยดีและมีการเติบโตชดเชยก้าวกระโดดคล้อยหลังจากนั้นไม่นาน  ประมาณว่าเป็นจุดสูงสุดของธุรกิจเลยก็ว่าได้

ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของการทำธุรกิจโรงพิมพ์ อาจไม่มีเครื่องมือวัดที่ชัดเจน แต่ถ้าถามถึงกำลังการผลิตและความพร้อมขององค์กรก็พอจะตอบได้ว่า ในวันที่ร้อนแรงที่สุดคือ มีเครื่องพิมพ์ขนาด 1 สี, 4 สีและ 5 สี จำนวนมากถึง 11 เครื่อง ส่วนใหญ่เป็นเครื่องไฮเดลเบิร์ก รองลงมาเป็นแมนโรแลนด์ โคโมริและอื่น ๆ มีระบบงานก่อนพิมพ์ด้วยเทคโนโลยีที่พร้อมสรรพ อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ทูเพลท (CTP) เครื่องปรู๊ฟดิจิตอล 3 เครื่อง มีเครื่องจักรในกระบวนการงานหลังพิมพ์เพียงพอ รองรับงานต่อเนื่องได้อย่างไม่ขาดไม่เกิน มีพนักงาน 150 คน และที่สำคัญมียอดขายต่อเดือน 10 ล้านบาทขึ้นไป

“เรื่องขนาดโรงพิมพ์ใหญ่ไม่ใหญ่ผมว่าไม่สำคัญหรอก สำคัญอยู่ที่เราทำงานให้ลูกค้าพอใจได้ไหม ทั้งเรื่องบริการ ราคาและคุณภาพ ซึ่งเป็น 3 สิ่งที่ได้ยึดถือมาตลอด และพิมพ์งานมาแล้วเป็นล้าน ๆ ชุด มีทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชนให้ความไว้วางใจใช้บริการมาอย่างต่อเนื่อง และที่ภูมิใจที่สุดคือ มีโอกาสได้รับงานพิมพ์จากสำนักพระราชวัง, สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์แห่งชาติ, สำนักนายกรัฐมนตรี  โครงการสารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน และจัดพิมพ์งานพระราชนิพนธ์ของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์”

คุณปฐมระบุว่า สถานการณ์ของโรงพิมพ์ด่านสุทธา ขึ้นกับกระแสเศรษฐกิจและความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเช่นเดียวกันกับโรงพิมพ์หรือธุรกิจอื่น ๆ เปรียบได้กับน้ำขึ้นน้ำลง ต้องมีการปรับตัวตลอดเวลา ดังเช่นล่าสุด ต้องเผชิญกับ Digital Disruption การรุกคืบของเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียทำให้การบริโภคงานพิมพ์ลดลง ส่งผลให้มีงานพิมพ์ส่วนหนึ่งหายไป จึงต้องปรับทิศทางธุรกิจเล็กน้อยคือ เพิ่มการให้บริการงานพิมพ์บรรจุภัณฑ์มากขึ้นด้วย

“การปรับทิศทางธุรกิจด้วยการพิมพ์บรรจุภัณฑ์นั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และถือเป็นความโชคดีกว่าโรงพิมพ์ที่เริ่มต้นใหม่ เพราะเรามีบุคลากร เครื่องพิมพ์และเทคโนโลยีต่าง ๆ รองรับได้อยู่แล้ว โดยเพียงแต่เพิ่มเครื่องหลังการผลิตมาทางบรรจุภัณฑ์มากขึ้น และพัฒนาองค์ความรู้ด้านบรรจุภัณฑ์ให้แก่บุคลากรเท่านั้น”

ปัจจุบันหลังจากโรงพิมพ์ด่านสุทธา เพิ่มให้บริการงานพิมพ์บรรจุภัณฑ์แล้ว 3 ปี สามารถทำยอดขายได้คิดเป็นมูลค่าประมาณ 10 % ของยอดขายรวม และมีท่าทีที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไปอีกเช่นกัน

ปันน้ำใจสู้ภัยโควิด-19 แก่สังคมแวดล้อมโรงพิมพ์ในซอยลาดพร้าว 87

โรงพิมพ์‘คอนติเนนตัล’ ผู้นำบรรจุภัณฑ์กระดาษ

                                                                                          ขันติ ลาภณัฐขันติ….เรื่อง/ภาพ

เอ่ยถึงโรงพิมพ์คุณภาพระดับชั้นนำของเมืองไทย ชื่อโรงพิมพ์บริษัท คอนติเนนตัล บรรจุภัณฑ์(ไทยแลนด์) จำกัด ดีดเด้งขึ้นมาอยู่ในระดับชั้นนำในทันที เพราะความมีชื่อเสียงและเป็นเจ้าตลาดด้านการพิมพ์บรรจุภัณฑ์กระดาษ ต่างเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าผู้ใช้บริการทั้งในและต่างประเทศ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ด้วยคุณภาพของตัวผลิตภัณฑ์การพิมพ์เองไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค หรือแม้กระทั่งบรรจุภัณฑ์ขวดเหล้า ฯลฯ และมีรางวัลต่าง ๆ การันตีมากมายหลายวาระและโอกาสด้วยกัน

หนึ่งในนั้นคือรางวัล PM AWARD 2016 : Prime Minister’s Export Award 2016 ซึ่อถือเป็นปีแรกที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทยมีชื่อเข้ารับรางวัลนี้ และโรงพิมพ์คอนติเนนตัลฯ ที่มีอาจารย์มานิตย์ กมลสุวรรณ อาจารย์ใหญ่ของอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทยเป็นผู้ขับเคลื่อน ได้เป็นหนึ่งในผู้รับเกียรติครั้งแรกนี้

รางวัล PM AWARD ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดให้มีพิธีประกาศเกียรติคุณและมอบโล่รางวัล “ผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ประจำปี 2559 หรือ  โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้มอบให้คุณอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ขณะนั้น ไปเป็นประธานในพิธีเปิดและมอบโล่รางวัลแทน เนื่องจากติดภารกิจการแถลงนโยบายครบรอบ 2 ปีของรัฐบาล เมื่อบ่ายวันที่ 15 กันยายน 2559 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ปีนั้นมีคัดเลือกผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกดีเด่นเข้ารับรางวัลสูงสุดของรัฐบาล จำนวน 43 บริษัท รวม 50 รางวัล โดยในส่วนสาขาธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ในประเภทรางวัลธุรกิจบริการยอดเยี่ยม ซึ่งทำการคัดเลือกและมอบรางวัลเป็นปีแรก ปรากฏว่า มีโรงพิมพ์ได้รับ 2 รางวัลคือ บริษัท คอนติเนนตัล บรรจุภัณฑ์(ไทยแลนด์) และบริษัท ทีพีเอ็น เฟล็กซ์แพค จำกัด

การได้รับรางวัล PM AWARD ถือเป็นผู้ที่สร้างชื่อเสียงแก่สินค้าและบริการของประเทศให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสร้างกระแสบริโภคนิยมสินค้าและบริการไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการไทยได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง อีกทั้งจะนำความคิดสร้างสรรค์ และองค์ความรู้ที่มีอยู่ มาช่วยพัฒนาต่อยอดสินค้าและบริการไทย เพื่อสร้างความได้เปรียบในเวทีการค้าโลก

อาจารย์มานิตย์ กมลสุวรรณ และคุณภาวิมาส กมลสุวรรณ

 

‘ปฐม สุทธาธิกุลชัย’ สร้างสะพานบุญชักชวนหมู่มิตร ไถ่อิสรภาพโค-กระบือ 19 ชีวิต

คุณปฐม สุทธาธิกุลชัย ประธานกรรมการ บริษัท ด่านสุทธาการ พิมพ์ จำกัด อาสาเป็นสะพานบุญเชื่อมเพื่อนพ้องมวลหมู่มิตรที่ใกล้ชิดสนิทกันเชิญชวนร่วมบริจาคเงิน จัดกิจกรรมไถ่ชีวิต-กระบือ และปันน้ำใจให้แก่เกษตรกรผู้ยากไร้ ตามโครงการอันเนื่องจากพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 อันได้แก่ ธนาคารโค-กระบือ

ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อร่วมอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทย คิดเป็นจำนวนเงิน 532,850.11 บาท สามารถไถ่อิสรภาพได้ 19 ชีวิต แบ่งเป็นโค 14 ชีวิต(ตัวละ 27,000 บาท) กระบือ 5 ชีวิต(ตัวละ 30,000 บาท)   และได้นำไปทำพิธีมอบแล้วที่ศูนย์ไถ่ชีวิตโค-กระบือ โรงฆ่าสัตว์บริษัทวัฒนามีท โปรดักส์  จำกัด อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้

คุณปฐม ในฐานะประธานโครงการไถ่ชีวิตโค-กระบือในครั้งนี้ กล่าวว่า ในช่วงที่สังคมไทยประสบชะตากรรมกับสงครามเชื้อโรคโควิด-19 เช่นเดียวกันกับคนทั่วโลก และอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก มีงานลดน้อยถอยลงอย่างมาก จึงได้ถือโอกาสที่มีเวลาว่างคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา พร้อมกับตั้งคำถามให้ตัวเองว่า เราได้ทำความดีอะไรให้กับผู้อื่นหรือสังคมแล้วหรือยัง ซึ่งสิ่งที่คิดได้คือ นอกเหนือการบริจาคเงินและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวแก่ผู้ยากไร้โดยตรงแล้ว ยังคิดว่า สามารถอาสาเป็นสะพานบุญเชื่อมมวลหมู่มิตรเพื่อเพิ่มการช่วยเหลือผู้ยากไร้ให้ได้มากขึ้นด้วย