บริทาเนีย ชูแคมเปญ BRITANIA FEEL GOOD รับไฮซีซั่นอสังหาฯ

บมจ.บริทาเนีย ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบชั้นนำ เปิดตัวแคมเปญใหญ่ “BRITANIA FEEL GOOD” รับไฮซีซั่นอสังหาฯ ช่วงโค้งสุดท้ายไตรมาส 4/64 ตอกย้ำแนวคิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและบริการทั้งก่อนและหลังการขายที่แตกต่าง สร้างความรู้สึกที่ดีผ่าน คอนเซ็ปต์หลัก GOOD CHOICES, You Choose  GOOD PLACES from The Best Location  GOOD SOCIETY with Sharing Joy GOOD DESIGN, Own Your Style และ GOOD CARE with Exclusive Facilities นำเสนอโครงการบ้านและทาวน์โฮมพร้อมอยู่ สะท้อนการขยายอาณาจักรธุรกิจครอบคลุมทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล 

นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแนวคิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยให้ความสำคัญกับการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขายเพื่อสร้างความแตกต่างจากผู้พัฒนาโครงการรายอื่นๆ รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้แก่ลูกค้าและผู้อยู่อาศัยในโครงการต่างๆ ของบริษัทฯ ภายใต้การให้บริการที่ไม่ได้จำกัดแค่การดูแลในพื้นที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ดูแลไปถึงการช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านที่ต้องการความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย  

บริษัทฯ จึงเปิดตัวแคมเปญใหม่ ซึ่งเป็นแคมเปญใหญ่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ภายใต้ชื่อ “BRITANIA FEEL GOOD” รับไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สำหรับบ้านและทาวน์โฮมพร้อมอยู่ 13 โครงการ ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 2.39 – 25 ล้านบาท โดยมุ่งสื่อสารจุดเด่นแคมเปญภายใต้แนวคิด “บริทาเนีย ความรู้สึกดีๆ ที่อยู่ด้วยกัน” ซึ่งเกิดจากการศึกษา Customer Journey เพื่อเข้าใจความต้องการของผู้อยู่อาศัยตั้งแต่ก่อนที่จะมาเป็นลูกค้าของบริษัทฯ และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในเชิงลึก (Customer Insight) เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด สร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและยกระดับคุณภาพชีวิตแก่ลูกบ้าน โดยแคมเปญดังกล่าวมุ่งสร้างความรู้สึกที่ดีแก่ลูกค้าผ่าน 5 คอนเซ็ปต์หลัก ได้แก่ 

1. GOOD CHOICES, You Choose รู้สึกดีด้วยทางเลือกที่หลากหลายและตรงใจครอบคลุมทุกความต้องการกับบ้านหลากดีไซน์ ทำเลคุณภาพและข้อเสนอพิเศษ พร้อมบริการให้คำปรึกษาจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การซื้อบ้านเป็นเรื่องง่ายและราบรื่น  

 2. GOOD PLACES from The Best Location รู้สึกดีที่ได้อยู่ในสถานที่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของการใช้ชีวิต เชื่อมต่อการใช้ชีวิตทุกไลฟ์สไตล์ด้วยทำเลคุณภาพ  

3. GOOD SOCIETY with Sharing Joy รู้สึกดีที่ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางสังคมคุณภาพ และปลอดภัยได้มาตรฐาน มอบประสบการณ์การอยู่อาศัยในสังคมแห่งการแบ่งปันที่มากกว่าความเป็นส่วนตัว เพื่อสร้างคุณภาพที่ดีของคุณและครอบครัวอย่างยั่งยืน  

4. GOOD DESIGN, Own Your Style รู้สึกดีที่ทุกมุมของบ้านใส่ใจในทุกรายละเอียด ก้าวข้ามทุกข้อจำกัดของการออกแบบ ให้สามารถดีไซน์การใช้ชีวิตในแบบของตัวเองได้อย่างลงตัว รวมถึงสัตว์เลี้ยงแสนรัก 

5. GOOD CARE with Exclusive Facilities รู้สึกดีที่ได้รับการดูแลเหมือนคนพิเศษ ด้วยการยกระดับชีวิตให้สมบูรณ์แบบ กับพื้นที่ส่วนกลางให้ได้ทำกิจกรรมที่ชอบและบริการพิเศษตอบโจทย์ทุกความชอบตลอดการอยู่อาศัย 

“เราต้องการให้แคมเปญ BRITANIA FEEL GOOD สื่อสารถึงจุดยืนและแนวคิดที่แตกต่างในการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบและการให้บริการที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ตั้งแต่การให้คำปรึกษาเพื่อให้การซื้อบ้านเป็นเรื่องง่าย การใส่ใจกับทำเลคุณภาพเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิต สร้างประสบการณ์อยู่อาศัยที่ดีในสังคมคุณภาพ ให้ความสำคัญกับการออกแบบบ้านที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด และมอบประสบการณ์การดูแลสุดพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เช่น บริการจองคิวช่างทำผม, ทำความสะอาดบ้าน, ดูแลสัตว์เลี้ยง เป็นต้น” นางศุภลักษณ์ กล่าว  

นอกจากนี้ บริษัทฯ จะมุ่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการขยายธุรกิจที่ครอบคลุมทำเลศักยภาพ เพื่อตอบโจทย์ทางเลือกความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่โครงการ โดยนำเสนอโครงการบ้านจัดสรรและทาวน์โฮมบนทำเลใกล้ถนนสายหลัก ทางด่วน และสนามบิน สามารถเชื่อมต่อทุกเส้นทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจและใจกลางเมือง เช่น โครงการแกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.12, โครงการแกรนด์ บริทาเนีย วงแหวน รามอินทรา เป็นต้น และโครงการบ้านจัดสรรและทาวน์โฮม ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ ทำเลใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้า เชื่อมต่อทุกจุดหมายเพื่อการใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล  

WHART เดินหน้าลงทุนเพิ่ม 3 โครงการ มูลค่า 5.55 พันล้าน

กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (เพิ่มทุนครั้งที่ 6) ประกาศเดินหน้าลงทุนเพิ่ม 3 โครงการ มูลค่ารวมไม่เกิน 5.55 พันล้านบาท มีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 184,329 ตารางเมตร  ตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ เชื่อมต่อทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และผู้เช่าจัดเป็นบริษัทชั้นนำของกลุ่มธุรกิจ E-Commerce และ FMCG ที่กำลังมาแรงทั้ง Alibaba Group- Shopee Xpress – ทีดี ตะวันแดง สร้างความมั่นคงจากสัญญาเช่าระยะยาว และผลตอบแทนอย่างมั่นคง พร้อมเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินไปแตะที่ระดับ 48,000 ล้านบาท  

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน (Sponsor) และผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า กองทรัสต์ WHART เป็นกองทรัสต์ที่เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้าและโรงงาน ที่สัญญาระยะยาวส่วนใหญ่จากผู้เช่าหลากหลายแบรนด์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปในฐานะผู้สนับสนุนและผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ได้ขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) อย่างต่อเนื่อง โดยรูปแบบการพัฒนาโครงการของ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปจะโฟกัสที่โครงการ Built- to-Suit และ General Warehouses ที่มีมาตรฐานระดับพรีเมี่ยม รวมทั้งยังมีการให้บริการโซลูชั่นครบวงจร ทั้งระบบสาธารณูปโภค แพลตฟอร์มโครงสร้างด้านพลังงาน และระบบดิจิตอล โดยโครงการของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ความต้องการสูง ในบริเวณถนนบางนา-ตราด และพื้นที่ที่สอดรับกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งพื้นที่บนจุดยุทธ์ศาสตร์ดังกล่าวถือเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมเป้าหมายหลักด้านโลจิติกส์ของประเทศไทย

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน กองทรัสต์ WHART มีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนในกรรมสิทธิ์ สิทธิการเช่าและสิทธิการเช่าช่วงอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว 31 โครงการ หรือมีพื้นที่เช่าอาคารประมาณ 1,398,352 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินรวมของที่ระดับ 42,638.93 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปที่ยังคงเป็นผู้สนับสนุนและผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ในการนำทรัพย์สินคุณภาพระดับพรีเมี่ยมเข้ากองทรัสต์ WHART ทุกปีต่อเนื่อง

“ในปีนี้ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปได้นำทรัพย์สินจำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ ดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (วังน้อย 62) โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจค 3)  และ โครงการดับบลิวเอชเอ อี คอมเมิร์ซ พาร์คตั้งอยู่ที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เข้ากองทรัสต์ WHART (เพิ่มทุนครั้งที่6) โดยทั้ง 3 โครงการ มีกลุ่มผู้เช่าในกลุ่มธุรกิจที่เติบโต อาทิ กลุ่มธุรกิจ E-Commerce , FMCG และ Logistic ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้อานิสงส์จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”

นายอนุวัฒน์ จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) กล่าวว่า สำหรับการเพิ่มทุนครั้งที่ 6 เพื่อลงทุนในทรัพย์สินหลักเพิ่มเติมครั้งที่ 7  เป็นการเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมจำนวน 3 โครงการ มูลค่าไม่เกิน 5,550 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักในครั้งนี้ จะส่งผลให้ WHART มีมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์แตะที่ระดับกว่า 48,000 ล้านบาท และมีพื้นที่ เช่าภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 1.58 ล้านตารางเมตร ซึ่งทำให้กองทรัสต์ WHART รักษาความเป็นผู้นำของกองทรัสต์ประเภทศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้าและโรงงานที่ใหญ่ที่สุดประเทศไทย อีกทั้งการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักในครั้งนี้ ยังช่วยสร้างการเติบโตและมั่นคงให้กับรายได้ของกองทรัสต์อย่างมั่นคงและยั่งยืน และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นหน่วยอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับความโดดเด่นของทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ของโครงการที่กองทรัสต์ WHART จะเข้าลงทุนเป็นโครงการคลังสินค้าประเภท Built-to-Suit จำนวน 2 โครงการ และโครงการประเภท General Warehouses จำนวน 1 โครงการ โดยมีพื้นที่เช่าอาคารรวม 3 โครงการประมาณ 184,329 ตารางเมตร  ประกอบด้วย

  1. โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (วังน้อย 62) ตั้งอยู่ที่ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ24,150ตารางเมตร และพื้นที่เช่าหลังคารวมประมาณ 23,205 ตารางเมตร
  2. โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจค 3) ตั้งอยู่ที่อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ มีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 30,040 ตารางเมตร
  3. โครงการดับบลิวเอชเอ อี คอมเมิร์ซ พาร์คตั้งอยู่ที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่พื้นที่EECและโครงการนี้ได้รับการกำหนดให้เป็นพื้นที่ส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ : กลุ่มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์บางปะกง ด้วยเช่นกัน  โดยมีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 130,139 ตารางเมตร

โดยทั้ง 3 โครงการมีกลุ่มผู้เช่าที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตและมีความมั่งคง อย่าง Alibaba Group Shopee Xpress และ ทีดี ตะวันแดง ดังนั้นการเพิ่มทุนครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหน่วยทรัสต์อย่างมีเสถียรภาพ พร้อมรับศักยภาพในการการเติบโตในอนาคต

“ความโดนเด่นการเพิ่มทุนในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนอย่างเห็นได้ชัด โดยจะเห็นจากพื้นที่เขต EEC เพิ่มขึ้นจาก 14.1% เป็น 20.6% ซึ่งถือเป็นการสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่เน้นการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ  ในขณะที่สัดส่วน Built to Suit เพิ่มขึ้นจาก 55% เป็น 58% ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพรายได้ความมั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้การเพิ่มทุนครั้งนี้ยังขยายสัดส่วนลูกค้า E-Commerce อย่างมีนัยสำคัญจาก 6% เป็น 17% และทำให้กองทรัสต์เองมีผู้เช่ารายใหญ่ในกลุ่ม E-Commerce เกือบครบทุกราย ไม่ว่าจะเป็น Alibaba, Shopee Xpress, JD Central, Kerry และ Flash Express เป็นต้น นอกจากนี้ทรัพย์สินที่จะเข้าลงทุนในครั้งนี้ยังมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยในระดับสูงถึงร้อยละ 92 และมีอายุสัญญาเช่าคงเหลือของผู้เช่าเฉลี่ย (WALE) หลังทำการเพิ่มทุน อยู่ในระดับสูงถึง 3.5 ปี เนื่องจากโครงการที่กองทรัสต์ลงทุนส่วนใหญ่เป็นประเภท Built-to-Suit ซึ่งมีสัญญาเช่าของผู้เช่าที่ค่อนข้างยาว โดยอายุสัญญาเช่าเฉลี่ยของทรัพย์สินที่กองทรัสต์จะลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้อยู่ที่ 10.7 ปี

ด้าน นายสาวิตร ศรีศรันยพงศ์ ผู้บริหารกลุ่มงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ WHART กล่าวว่า กองทรัสต์ WHART เป็นผู้นำกองทรัสต์ในกลุ่มคลังสินค้าและอุตสาหกรรม ที่มีปัจจัยสนับสนุนความแข็งแรง และโดดเด่นในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การที่มีทรัพย์สินในทำเลศักยภาพที่เป็นศูนย์กลางจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย ความมั่นคงทางรายได้จากสัญญาเช่าระยะยาว เนื่องจากคลังสินค้าที่ WHART ลงทุนส่วนใหญ่เป็นคลังสินค้าประเภท Built-to-Suit อีกทั้งผู้เช่าพื้นที่ในทรัพย์สินของกองทรัสต์ เป็นผู้เช่าชั้นนำในกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโต ซึ่งความแข็งแกร่งเหล่านี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นจากประวัติการจ่ายผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่จัดตั้งกองทรัสต์ และทรัพย์สินที่กองทรัสต์ WHART จะลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ทั้ง 3 โครงการจะมาช่วยเสริมความแข็งแกร่งเดิมให้กับกองทรัสต์ WHART  โดยประมาณการจ่ายประโยชน์ตอบแทนและเงินลดทุนอ้างอิงงบกำไรขาดทุนและการจ่ายประโยชน์ตอบแทนตามสถานการณ์สมมติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ประมาณ 0.80 บาทต่อหน่วยภายหลังการเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งนี้

ในการเพิ่มทุนของกองทรัสต์ WHART ครั้งนี้จะเสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวนไม่เกิน 385,898,000 หน่วย โดยจะเสนอขายให้แก่ ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิจองซื้อหน่วยทรัสต์ที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 21 ต.ค.2564 ในอัตราส่วน 1 หน่วยทรัสต์เดิมต่อ 0.1181 หน่วยทรัสต์ที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติม ทั้งนี้คาดว่าการเสนอขายหน่วยทรัสต์ในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยสำหรับผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิจองซื้อ สามารถจองซื้อ ระหว่างวันที่ 8-12 พ.ย.2564 ซึ่งผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิจองซื้อสามารถจองซื้อตามสิทธิที่ได้รับจัดสรร เกินกว่าสิทธิ หรือน้อยกว่าสิทธิที่ได้รับการจัดสรรก็ได้และจะทำการชำระเงินจองซื้อที่ราคาสูงสุด 12.90 บาท/หน่วย และหากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่า ราคาสูงสุดจะทำการคืนเงินส่วนต่างราคาให้กับผู้จองซื้อ และสำหรับประชาชนทั่วไป (Public Offering) ซึ่งเป็นบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ จะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 16-19 พ.ย.2564 โดยการจองซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ K-My Invest หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา

JCK เตรียมเปิดบ้านรับนักลงทุนต่างชาติ ดีเดย์ 1 พ.ย.นี้

JCK พร้อมต้อนรับนักลงทุนต่างชาติ กรณีรัฐบาลประกาศเปิดประเทศดีเดย์ 1 พฤศจิกายน 2564 นี้ หลังโควิด-19 พ่นพิษกระทบให้การค้าการลงทุนสะดุด มั่นใจจะสามารถปิดการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดีเฟส 2 ได้ ประมาณ 60 ไร่ ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ และเตรียมเดินหน้ารุกธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จ่อเปิดโครงการบ้านเดี่ยวในจังหวัดเชียงรายต้นปี 65  กรุยทางรับรถไฟความเร็วสูงเส้นทางคุนหมิง-สปป.ลาว เปิดให้บริการปลายปีนี้

นายกฤตวัฒน์ เตชะอุบล กรรมการบริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JCK เปิดเผยว่า  ตามที่รัฐบาลประกาศเตรียมเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤจิกายน 2564 นั้น บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับผลเชิงบวก เนื่องจากการค้าและการลงทุนที่เคยชะงัก จากสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะกลับมาคึกคัก และคาดว่าจะสนับสนุนให้บริษัทฯสามารถขายที่ดินในนิคม อุตสาหกรรมทีเอฟดี เฟส 2 ได้ประมาณ 60 ไร่ ภายในสิ้นปี 2564 นี้

ในส่วนของธุรกิจแวร์เฮ้าส ที่มีจำนวน 1 แสนตารางเมตรนั้น ได้ปล่อยให้เช่าไปแล้วในสัดส่วน 60% คาดว่าภายหลังการเปิดประเทศจะทำให้เกิดความต้องการเช่าและซื้อแวร์เฮ้าส์มากขึ้น

“แนวโน้มรายได้ของบริษัทฯ จะมีทิศทางที่ดีขึ้น และคาดว่าในปี 2565 เชื่อมั่นว่าสถานการณ์ของโควิด-19 จะคลี่คลายมากว่านี้ ประชาชนได้รับวัคซีนในวงกว้าง คาดว่าจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ทำให้มั่นใจว่าการค้าและการลงทุนจะกลับมาคึกคักเข้าสู่ภาวะปกติ”

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังคงเดินหน้าตามแผนกระจายฐานรายได้ด้วยการรุกสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงราย เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ มีโอกาสขยายตัวค่อนข้างสูง และเป็นจังหวัดที่เชื่อมรอยต่อไปยังต่างประเทศ  ข้อสำคัญรถไฟเส้นทางคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน – นครหลวงเวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) กำหนดเปิดในช่วงปลายปีนี้ สามารถดึงการค้าและการลงทุนจากจีนเข้ามาได้ และเป็นจังหวะเดียวกับรัฐบาลประกาศเปิดประเทศ ซึ่งตามแผนบริษัทฯได้ลงทุนที่ดินเพื่อเตรียมพัฒนาด้วยตนเอง และในรูปแบบร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยคาดว่าจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวเป็นโครงการแรกในช่วงต้นปี 2565

SASOM เตรียมใช้ AI เพิ่มศักยภาพตอบสนองลูกค้าเฉพาะราย

SASOM (สะสม) ต่อยอดความสำเร็จแพลตฟอร์มซื้อขายของสะสม ของแบรนด์เนมและของหายากรายแรกในเอเชีย รุกเพิ่มพอร์ตกลุ่มสินค้าใหม่เพื่อเพิ่มทางเลือกและขยายฐานลูกค้า รองรับเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดซื้อขายสนีกเกอร์ในไทยจาก 20% เป็นกว่า 80% ของมูลค่าตลาด เตรียมนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้เพื่อตอบโจทย์ให้บริการแก่ผู้เข้าชมแพลตฟอร์มได้แบบเฉพาะราย และเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น วางแผนระดมทุนระดับ Series A ในปีหน้า พร้อมพัฒนาศักยภาพทีมงานคนรุ่นใหม่ ช่วยผลักดันขีดความสามารถในการขยายฐานลูกค้าและรองรับการทำธุรกรรมซื้อขายที่มากขึ้น 

นาย กษิต งานทวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สะสม จำกัด ผู้พัฒนา SASOM แพลตฟอร์มซื้อขายของสะสม ของแบรนด์เนมและของหายากรายแรกในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่า หลังจากได้เปิดตัว SASOM มาเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี โดยมีทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันเพื่อเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นจุดนัดพบระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายของสะสม ของแบรนด์เนมรุ่นยอดนิยม สินค้าแฟชั่น สินค้าที่ผลิตจำนวนจำกัด และของหายากทั้งในและต่างประเทศ อาทิ รองเท้าสนีกเกอร์ NIKE ADIDAS ของเล่นสะสมอย่าง BE@RBRICK ฯลฯ ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักสะสมและนักลงทุนจากทั่วโลก พร้อมรับประกันสินค้าทุกชิ้นผ่านการตรวจสอบว่าเป็นของแท้ ถือว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ   

โดยในช่วงที่ผ่านมาแพลตฟอร์ม SASOM ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสินค้าให้เลือกซื้อ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ รองเท้าสนีกเกอร์ (รองเท้าผ้าใบ) ของสะสม และแฟชั่นสตรีทแวร์ (เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับ) ล่าสุดจึงเตรียมขยายพอร์ตกลุ่มสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มความน่าสนใจให้แก่แพลตฟอร์ม อาทิ เทรดดิ้งการ์ด (การ์ดสะสมที่ได้รับความนิยม), สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, กล้องถ่ายรูป, งานศิลปะ ฯลฯ

 “เรามองเห็นแนวโน้มการเติบโตของตลาดซื้อขายของสะสมแบรนด์และของหายาก โดยปัจจุบันผู้บริโภค Gen Z อายุตั้งแต่ 25 – 34 ปี นิยมแต่งตัวหรือสะสมสินค้าแฟชั่นตามดาราหรือเซเลบริตี้ชื่อดัง รวมถึงการซื้อขายสินค้าเหล่านี้ยังถือเป็นการลงทุนที่มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต โดยประเมินว่าในปีที่ผ่านมาการซื้อขายสนีกเกอร์เพื่อการสะสมและลงทุนในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 700 ล้านบาท และ SASOM มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 20% ส่วนในปีหน้าเราตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย โดยต้องการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็นกว่า 80% เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ เป็นสตาร์ทอัพรายแรกและรายเดียวในไทย ที่พัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายของสะสม ของแบรนด์เนมและของหายาก” นาย กษิต กล่าว

นายกันต์พจน์ เลิศโกมลสุข ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สะสม จำกัด กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ได้วางแผนพัฒนาเทคโนโลยีของเซิร์ฟเวอร์และศึกษาข้อมูลความต้องการของผู้ซื้อและผู้ขาย เพื่อยกระดับการให้บริการแพลตฟอร์ม SASOM อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีการพัฒนาระบบรางวัลและขยายการจัดส่งสินค้าให้ประเทศเพื่อบ้านได้แล้ว และในเร็วๆ นี้บริษัทฯ จะเริ่มใช้ระบบ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ในแพลตฟอร์มเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เข้าชมเว็บไซต์และแอปพลิเคชันได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อขยายรูปแบบการชำระเงิน E-Payment ในช่องทางอื่นๆ ที่หลากหลาย จากปัจจุบันที่สามารถชำระผ่านบัตรเครดิตได้ ก็เริ่มมีการเปิดประมูลสินค้า การเปิดออเดอร์ตั้งรับสินค้า และอยู่ระหว่างพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างประสบการณ์ที่ดีระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสินค้า รวมถึงการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาใช้รองรับการให้บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านแพลตฟอร์มเพื่อความปลอดภัยในระบบยิ่งขึ้น คาดว่าจะสามารถนำมาใช้งานได้ภายในช่วงต้นปี 2565

นายหฤษฎ์ อัชนะพรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สะสม จำกัด กล่าวว่า หลังจากในปีนี้บริษัทฯ ได้ระดมทุนระดับ Pre-Series A จาก Kream Corporation ประเทศเกาหลีใต้ ในปี 2565 ได้วางแผนระดมทุนระดับ Series A อย่างต่อเนื่อง เพื่อบริษัทฯ เตรียมทรัพยากรรองรับเป้าหมายการเพิ่มปริมาณการทำธุรกรรมซื้อขายบนแพลตฟอร์ม จากปัจจุบันที่รองรับได้วันละ 300-500 รายการ วางแผนเพิ่มขีดความสามารถรองรับได้เป็นวันละ 1,000 – 1,500 รายการ และภายใน 2 – 3 ปีข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 3,000 – 5,000 รายการ โดยในการเตรียมทรัพยากรดังกล่าวรวมไปถึงการพัฒนาและเตรียมพร้อมศักยภาพทีมงานในฝ่ายต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความ
สามารถและมีความตั้งใจที่จะร่วมผลักดันให้บริษัทฯ สามารถไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้

สำหรับการขยายหมวดหมู่สินค้าเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า นายสรวิศ หลิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือการรวบรวมสินค้าที่มีคุณภาพ น่าสะสม และเป็นที่ต้องการ โดยการร่วมมือกับนักขายมืออาชีพหรือนักสะสมที่ปล่อยของสะสมส่วนตัว มารวมอยู่ด้วยกันบนแพลตฟอร์ม เพื่อให้ลูกค้ามีตัวเลือกที่หลากหลายได้มาซื้อผ่านการบริการที่ปลอดภัยและสะดวกทั้งสำหรับคนซื้อและขาย จึงวางแผนเปิดตลาดใหม่ๆ ที่คิดว่าจะสามารถทำให้การซื้อขายปลอดภัยขึ้นได้และในราคาที่สมเหตุสมผล หนึ่งในหลักการที่ใช้ในการตัดสินใจการเลือกเข้าตลาดคือการฟังความต้องการของลูกค้าและเทรนด์ อย่างเช่น Surfskate, Playstation 5 หรือรองเท้ากอล์ฟไฮป์ๆ ที่ไม่มีขายในประเทศไทย แบรนด์ไทยเองก็มีแบรนด์ที่เจ๋งมากมาย และคิดว่าเราสามารถช่วยเป็นอีกแรงผลักดันให้สามารถออกไปสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศได้เพิ่ม”

การขยายขีดความสามารถในด้านต่างๆ ของบริษัทฯ สอดคล้องกับแผนธุรกิจที่ต้องการขยายฐานผู้ซื้อและผู้ขายในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้น เพื่อมุ่งสู่การเป็น  Destination of Secondary Market และตอบโจทย์การเป็นและ The Collectors Paradise of Asia เทียบชั้นระดับโลก  โดยเฉพาะการขยายฐานผู้ซื้อและผู้ขายในกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งในปัจจุบันประเทศดังกล่าวยังถือว่าเป็นตลาดใหม่ที่ไม่มีผู้พัฒนาหรือนำเสนอแพลตฟอร์มซื้อขายของสะสมและของหายากอย่างจริงจัง โดยส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งผู้บริโภคยังไม่ได้รับความอำนวยสะดวกเท่าที่ควร อีกทั้งยังมีโอกาสพบสินค้าลอกเลียนแบบได้ โดยบริษัทฯ วางแผนโปรโมตแพลตฟอร์ม SASOM ผ่านการทำตลาดรูปแบบใหม่เพื่อดึงดูดและเข้าถึงผู้ซื้อและผู้ขายต่างชาติกลุ่มเป้าหมายที่มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบของสะสม ของแบรนด์เนมและของหายากในแต่ละประเทศ

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เปิดโครงการ 3 ทำเลใหม่ รับดีมานด์แนวราบสู่ตลาด

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ปูพรมเปิดโครงการใหม่ 3 ทำเลในโซนเหนือ ตะวันออก และตะวันตก รอบกทม. รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ด้วยทำเลคุณภาพและนวัตกรรมแบบบ้านใหม่ French Colonial ตอบโจทย์ความต้องการ Work from Home สร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่กลุ่ม real demand ในราคาที่จับต้องได้

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า ล่าสุด บริษัทฯ ได้พัฒนา 3 โครงการใหม่ ประกอบด้วย โครงการลลิลทาวน์ ไลโอ ลำลูกกา-คลอง 2 มูลค่า 700 ล้านบาท โครงการลลิลทาวน์ แลนซีโอ คริป ลำลูกกา-คลอง2 มูลค่า 900 ล้านบาท และโครงการแลนซีโอ คริป ศรีนครินทร์-เทพารักษ์ มูลค่า 420 ล้านบาท โดยทั้ง 3 โครงการใช้แนวคิดในการออกแบบล่าสุดสไตล์ French Colonial ที่นำความงามของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสมาประยุกต์เข้ากับการสร้างสรรค์ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สังคมเมือง ให้สอบคล้องกับเทรนด์ใหม่ของการอยู่อาศัยในยุคปัจจุบัน

โดยทั้ง  3  โครงการใหม่ได้รับการออกแบบที่โดดเด่นด้วยแนวคิด French Colonial ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมสไตล์ฝรั่งเศสที่ล้ำสมัยผสมผสานความเรียบหรู ตอบรับการใช้ชีวิตยุคใน New Normal ได้เป็นอย่างดี ให้ลูกค้าได้ใช้ชีวิตอย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ และสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ ประกอบด้วย โครงการลลิลทาวน์ ไลโอ ลำลูกกา คลอง 2 – พรีเมี่ยมทาวน์โฮมหรูขนาด 4 ห้องนอน ที่ถูกพัฒนาให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของทำเลพหลโยธิน ลำลูกกา มาพร้อมคลับเฮ้าส์หรู แบบ Skyline Panorama พร้อมฟิตเนส สระว่ายน้ำ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ และระบบความปลอดภัยให้คุณได้อุ่นใจตลอด 24 ชั่วโมง สะดวกด้วยเส้นทางเชื่อมต่อเมือง ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว (สถานีคูคต) ใกล้ทางด่วน (โทลล์เวย์) และแหล่งช้อปปิ้งคุณภาพมากมาย ราคาเริ่มต้น 2 ล้านกว่าบาท* ,โครงการลลิลทาวน์ แลนซีโอ คริป ลำลูกกา-คลอง2 บ้านหรูสไตล์ฝรั่งเศส 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ  2 ที่จอดรถ พร้อมคลับเฮ้าส์ ฟิตเนส และสระว่ายน้ำ ที่ตั้งอยู่บนทำเล พหลโยธิน-ลำลูกกา เชื่อมต่อชีวิตติดเมือง ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว(คูคต) และทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) ที่ทำให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ราคาเริ่มต้น 3-6 ล้านบาท*

และโครงการแลนซีโอ คริป ศรีนครินทร์-เทพารักษ์ บ้านและสวนฝรั่งเศสในแบบ Victorian Style บรรจงออกแบบและพัฒนาให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ที่พัฒนาฟังก์ชันรองรับทุกเจนเนอเรชั่น ขนาด 4 ห้องนอน ใหม่! เพิ่มฟังก์ชันห้องทำงานปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยุค New Normal พร้อมส่วนกลางคลับเฮ้าส์ Co-working Space และฟิตเนสวิวสวน เหนือระดับบนอาณาจักรส่วนตัวเพียง 88 หลัง บนทำเลศักยภาพศรีนครินทร์-เทพารักษ์  ใกล้ทางด่วนบูรพาวิถี ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก และรถไฟฟ้า 2 สาย (ทั้งสายสีเหลือง และสีเขียว) รายล้อมด้วย Lifestyle Mall ชั้นนำอาทิ Central บางนา, JAS Urban ศรีนครินทร์ , Robinson ศรีนครินทร์ ราคาเริ่มต้น 4-6 ล้านบาท*

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงศักยภาพของโครงการใหม่ทั้ง 3 ทำเล พบว่า ย่านลำลูกกาถือเป็นทำเลศักยภาพทางตอนเหนือของกรุงเทพฯที่น่าสนใจ ด้วยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปัจจัยของการพัฒนารถไฟฟ้าสายสีเขียวตรงสู่ใจกลางเมืองรวมทั้งเชื่อมต่อ 2 สนามบินนานาชาติ ทำให้ทำเลนี้โดดเด่นเรื่องระบบคมนาคมที่เชื่อมต่อสู่เมืองชั้นในได้อย่างสะดวก ในขณะที่ย่านเทพารักษ์ก็ได้รับอานิสงส์จากการพัฒนารถไฟฟ้าสายสีเหลือง พร้อมรองรับการขยายตัวจากทางศรีนครินทร์ เชื่อมสู่ฝั่ง รัชดา-ลาดพร้าว ถือว่าเป็นทำเลที่ต่อขยายในภาคธุรกิจ EBD หรือ Extended Business District รวมทั้งมีโครงข่ายคมนาคมที่เชื่อมต่อกันหมด ซึ่งถือว่าเป็นทำเลทางเลือกในการอยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี “ทุกครั้งที่พัฒนาโครงการใหม่ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จะทำการสำรวจความต้องการที่แท้จริงของตลาดก่อนพัฒนาโครงการสำหรับผู้บริโภคเสมอ โดยชูจุดแข็งหลักด้านการออกแบบที่โดดเด่น ความคุ้มค่าของทำเล การนำนวัตกรรมต่างๆมาใช้เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในยุคปัจจุบัน” นายชูรัชฏ์ กล่าว

และจากการริเริ่มนำเสนอแบบบ้านสไตล์ French Colonial ออกสู่ตลาดพบว่ากระแสความการตอบรับของผู้บริโภคเป็นไปอย่างดี เนื่องจากปัจจุบันการส่งแบบบ้านดีไซน์ใหม่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ได้รับความสนใจจากลูกค้าแม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 “บ้านสไตล์ French Colonial คือโอเอซิสที่พร้อมจะมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยใหม่ๆ แก่ลูกค้า ถือเป็นการเติมเต็มช่องว่างของตลาดอย่างลงตัว ใส่รายละเอียด ความอ่อนช้อย หรูหรา เพิ่มคุณค่าในการอยู่อาศัยอย่างมีคาแรกเตอร์ ทำให้เกิดความต่างไม่ซ้ำใครที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้จริง ทั้งยังเพิ่มนวัตกรรมการอยู่อาศัย  iL (Lalin Innovation for Living) ที่ครอบคลุม 3 แนวคิด ประกอบด้วย
1.iL-Smart & Security ส่งมอบบ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ลูกค้าเพื่อการอยู่อาศัยที่ยั่งยืน สร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน
2.iL-Eco System  การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการนำกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3.iL-Lively & Healthy ให้ความสำคัญต่อเรื่องการถ่ายเทอากาศ การคำนึงถึงทิศทางลมและแสงแดด และคัดสรรวัสดุที่ช่วยลดการสะสมของเชื้อโรค เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่แก่กลุ่มบ้าน real demand ด้วย” นายชูรัชฏ์ สรุปผลตอบรับจากการเริ่มเปิดตัวบ้านแบบใหม่ในสไตล์ French Colonial สู่ตลาด

EA ติดอันดับหุ้นยั่งยืนต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน

บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability Investment) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำปี 2564 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สะท้อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG)

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงานและยานยนต์ไฟฟ้า เปิดเผยว่า กลุ่ม EA มุ่งดำเนินธุรกิจที่เป็น Green Product ไม่ก่อมลพิษ โดยพัฒนาพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ (Commercial EV) ทั้งรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า และเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการกำหนดนโยบายและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้ ผู้ถือหุ้น ผู้ร่วมค้า และพนักงานอย่างเป็นธรรม

“บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับคัดเลือกเป็นหุ้นยั่งยืน THSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยบริษัทพร้อมสานต่อนโยบายและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้แนวทางการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนที่ยั่งยืน ซึ่งถือเป็นเป้าของบริษัทที่จะร่วมผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของไทย และตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม” นายอมร กล่าวทิ้งท้าย

อ่านเกมธุรกิจ อานตี้ แอนส์ เจาะตลาด Plant-based

อานตี้ แอนส์ ผู้นำตลาดซอฟท์เพรทเซลในประเทศไทย บริหารงานโดย บจก. เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป (ซีอาร์จี) จับมือ MEAT ZERO เปิดตัวสินค้าใหม่ “Meat Zero Pizza Pretzel” ครั้งแรก! ของอานตี้ แอนส์ กับเมนูจากพืช (Plant-Based) ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับสุขภาพ และเป็นเมนูที่ดีต่อใจผู้ที่ต้องการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ และกลุ่มมังสวิรัติยืดหยุ่น (Flexitarian)

นายสุชีพ ธรรมาชีพเจริญ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่ม Bakery&Beverage Cuisine เปิดเผยว่า ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งกระแสการตอบรับเนื้อจากพืชกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศไทย โดยจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2563 การบริโภคเนื้อจากพืชในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืชมีการพัฒนาให้มีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเปิดใจมากขึ้น จึงเป็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภค ซึ่งการร่วมมือกันระหว่าง อานตี้ แอนส์ และ MEAT ZERO เป็นการนำเอาจุดแข็งของทั้ง 2 แบรนด์ คือ ความเป็นผู้นำตลาดซอฟท์เพรทเซลในประเทศไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร กับเพรทเซลสีน้ำตาลทอง กรอบนอกนุ่มในและความอร่อยที่สาวกเพรทเซลคุ้นเคย มาร่วมพัฒนากับ MEAT ZERO ผู้นำด้านนวัตกรรมอาหารที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมของซีพีเอฟ เป็นแบรนด์แพลนต์เบสของไทยที่มีความโดดเด่น ให้รสชาติที่อร่อย รวมถึงกลิ่นและเนื้อสัมผัสที่เหมือนเนื้อไก่จริง ๆ

สำหรับแผนการตลาด เน้นทำการตลาดออนไลน์ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มแฟนของอานตี้ แอนส์ และกลุ่มมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น (Flexitarian)หรือกลุ่มผู้บริโภคที่รับประทานอาหารมังสวิรัสติแบบยืดหยุ่นเป็นครั้งคราวที่ขณะนี้มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
ส่วนการสื่อสารกับลูกค้าเน้นสื่อสารผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย, อินฟลูเอนเซอร์ ,
KOLs และบล็อกเกอร์ ทั้งสายสุขภาพ และ สายไลฟ์สไตล์ ครอบคลุมทุกแฟลตฟอร์ม ทั้ง Facebook, IG, TikTok, Twitter เป็นต้น

โดยตั้งเป้าว่าแคมเปญนี้จะสามารถสร้างยอดขายเติบโตได้กว่า 20% Meat Zero Pizza Pretzel แป้งเพรทเซลสูตรเฉพาะจากอานตี้ แอนส์ ท๊อปด้วย Spicy Shredded Chicken (Plant-Based) และ Mozzarella Cheese แบบจัดเต็ม เอาใจสาวกเพรทเซล ราคากล่องละ 79 บาท (Delivery ราคา 89 บาท) หรือซื้อเป็นเซ็ตสุดคุ้ม Set A : Meat Zero Pizza Pretzel + Lemonade 16 oz. ราคา 116 บาท (ปกติราคา 124 บาท) Set B : Meat Zero Pizza Pretzel + Almond Stix + Lemonade 22 oz. ราคา 169 บาท (ปกติราคา 183 บาท)
**เมื่อซื้อ Meat Zero ชุดใดก็ได้ สามารถแลกซื้อ Almond Pretzel ได้ในราคา 29 บาท

“พิมรี่พาย” รัวกระดิ่ง! ชวนเพื่อนรักสั่งคนละครึ่งบน LINE MAN

กริ๊งๆๆๆ! เสียงสั่นกระดิ่งรัวต้องมาหนึ่ง! รับแม่ “พิมรี่พาย” แม่ค้าสุดเซ็กซี่ที่เพิ่งมีข่าวมงลงร้อนๆ รับบทพรีเซ็นเตอร์ครั้งแรกในชีวิต งานนี้ไม่ใช่แค่ขายทุกอย่าง แต่ขอมาช่วยเชียร์ขายอาหารร้านคนละครึ่งบน LINE MAN ให้มียอดปังเป็นพลุแตก ประเดิมภารกิจแรกกรุยชุดเขียวสดถ่ายภาพโปรโมทแคมเปญ “คุ้มคนละชั้น สั่งคนละครึ่ง” จาก LINE MAN ที่เจ้าตัวเป็นพรีเซ็นเตอร์ ปังตรงไหนเอาปากกามาวงขอวงทั้งหน้ากระดาษเลยจ้า คนละครึ่งเฟสนี้จะคุ้มกว่าเดิม เพราะ “พิมรี่พาย” การันเตอทูการันตี LINE MAN คุ้มคนละชั้น สั่งคนละครึ่ง ให้เต็มอิ่มกับเมนูโปรดจากร้านคนละครึ่งมากที่สุดครอบคลุมทั่วไทยกว่า 40,000 ร้านมีทุกอย่างที่อยากกิน พ่วงความคุ้มแบบเหนือชั้นถึง 4 ต่อ สั่งอาหารจ่ายครึ่งเดียว ลดเพิ่มสูงสุด 60% ส่งฟรี 5 กม. แถมสั่งบ่อยได้ส่วนลดเพิ่มสูงสุด 100 บาท สั่งง่าย จ่ายสบายกว่าเดิม อาหารถึงมือไวเพราะ LINE MAN ไม่แวะ สั่งคนละครึ่ง ต้องสั่งผ่าน LINE MAN เท่านั้น เชื่อพิมสั่งเลยที่ https://lineman.onelink.me/1N3T/f17d6247 แอบกระซิบหลังจากนี้สาวพิมรี่พายเตรียมผลงานแซ่บๆ กับ LINE MAN อีกชุดใหญ่ต้องรอติดตามนะเธอ

 

SWC ทุ่มงบ 100 ล้าน รีแบรนด์ดิ้ง ‘เชนไดร้ท์’ ครั้งใหญ่รอบ 5 ปี

‘บมจ.เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น’ หรือ SWC ประกาศรีแบรนด์ดิ้ง ‘เชนไดร้ท์’ ยกระดับผลิตภัณฑ์ทุกมิติ ปรับภาพลักษณ์ใหม่ ตอกย้ำผู้เชี่ยวชาญเรื่องการกำจัดปลวกและแมลงรบกวน เปิดตัวดีไซน์บรรจุภัณฑ์และปรับสูตรใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘เชนไดร้ท์ น็อกไว ยุง มด แมลงสาป ตายครบจบทุกแมลง’ เดินหน้าเสริม Route to Market ให้แข็งแกร่ง เพิ่มดิสทริบิวเตอร์กระจายสินค้าเข้าถึงช่องทางจำหน่ายทั่วประเทศ สร้าง Partnership กับร้านค้าที่มีศักยภาพเพิ่มการเติบโตทุกช่องทาง พร้อมส่งกลยุทธ์ Brand identity ตอบโจทย์การใช้งานแต่ละประเภท ชูการตลาด 360 องศา ดึง ‘หมาก-ปริญ สุภารัตน์’ ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ หวังสิ้นปีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่ม 35% ในปีนี้ พร้อมประกาศแผนบุกเวียดนามและเมียนมาร์ ดันรายได้ CLMV แตะ 10% ของรายได้รวมต่างประเทศ คาดยอดขายสินค้ากลุ่มกำจัดแมลงทุกช่องทางแตะ 1,350 ล้านบาท

นายธนากร วัฒนวิจารณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชอร์วู้ด  คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SWC ผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยแผนรุกกลุ่มผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงรบกวนแบรนด์ ‘เชนไดร้ท์’ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ และเป็นพอร์ตรายได้หลักของกลุ่ม SWC โดยทุ่มงบ 100 ล้านบาท รีแบรนด์ดิ้งครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปีเพื่อปรับภาพลักษณ์แบรนด์สินค้าให้ดูทันสมัยและตอกย้ำผู้เชี่ยวชาญเรื่องการกำจัดปลวก ยุง แมลงสาป มด และมอด ที่ยกระดับผลิตภัณฑ์ทุกมิติทั้งดีไซน์บรรจุภัณฑ์และปรับสูตรใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘เชนไดร้ท์ น็อกไว ยุง มด แมลงสาป ตายครบจบทุกแมลง’

“แบรนด์ เชนไดร้ท์ เป็นผู้นำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านการป้องกันและกำจัดปลวก-แมลงในเมืองไทยมานานกว่า 20 ปี และเป็นแบรนด์ที่ทำรายได้หลักคิดเป็นสัดส่วน 70% ของรายได้รวม เป็นผู้นำตลาดกลุ่มสเปรย์กำจัดปลวกที่มีส่วนแบ่งตลาด 90% (ข้อมูลจากนีลเส็น เดือน ม.ค.-ก.ค.2564) เชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์สเปรย์กำจัดแมลงสาบ และยุงให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นายธนากร กล่าว  

นายธนากร เผยแผนการตลาดแบรนด์ ‘เชนไดร้ท์’ มุ่งสร้างการเติบโตของกลุ่มสินค้าสเปรย์กำจัดแมลง โดยการปรับดีไซน์บรรจุภัณฑ์ให้เข้าใจง่ายต่อการเลือกใช้ มีการใช้คัลเลอร์โค้ดเข้ามาบ่งชี้ ประเภทของผลิตภัณฑ์ ภายใต้สัญลักษณ์สีส้ม เขียว เหลือง ตอบโจทย์ทุกปัญหาแมลงเพื่อสื่อสารคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันและสร้างการจดจำให้แก่ผู้บริโภค โดยผลิตภัณฑ์ที่สามารถกำจัดแมลงสาป ยุง มด ใช้สัญลักษณ์สีเขียว ส่วนผลิตภัณฑ์กำจัดยุง ใช้สัญลักษณ์สีเหลือง และผลิตภัณฑ์กำจัดปลวก มอด มด และแมลงคลานใช้ลัญลักษณ์สีส้ม เป็นสูตรที่ขายดีที่สุดจาก ‘เชนไดร้ท์’ การแบ่งกลุ่มตามประเภทแมลงที่กำจัดได้โดยมีสีของกระป๋องมาบ่งชื้ จะช่วยสร้างการจดจำแบรนด์ และผลิตภัณฑ์ได้ดี และช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น

‘เชนไดร้ท์’ ดำเนินการสื่อสารการตลาดครบ 360 องศา เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านทางโทรทัศน์ สื่อโฆษณากลางแจ้งและสื่อออนไลน์ พร้อมดึง ‘หมาก-ปริญ สุภารัตน์’ เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรก เนื่องจากมีภาพลักษณ์และไลฟ์สไตล์แบบคนรุ่นใหม่ที่ฉลาดเลือก ได้ปล่อยโฆษณาชุดแรก สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มกำจัดแมลงสาป ยุง มด ภายใต้คอนเซ็ปต์ สมาร์ท ไฟต์เตอร์ น็อกไว ยุง มด แมลงสาป ตายครบจบทุกแมลง และจะมีการปล่อยโฆษณา สำหรับผลิตภัณฑ์กำจัดยุง และกำจัดปลวก ตามลำดับ คาดหวังส่วนแบ่งการตลาด 35% ซึ่งจะทำให้ยอดขายรวมทุกช่องทางแตะ 1,000 ล้านบาทในปีนี้

นายอนุศาสตร์ สระทองเวียน ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพาณิชย์ SWC กล่าวว่า SWC เสริมความแข็งแกร่งระบบจัดจำหน่ายสินค้าหรือ Route to Marketโดยเพิ่มผู้แทนจำหน่าย (Distributor) จาก 6 ราย เป็น 14 ราย เพื่อกระจายสินค้าเข้าถึงผู้บริโภคให้ครอบคลุมทั่วประเทศได้ดีขึ้น พร้อมเดินหน้าสร้าง Partnership กับคู่ค้าทางธุรกิจ ในการร่วมมือกันทำการตลาดและการขายในลักษณะพันธมิตร เติบโตร่วมกันไม่ว่าจะเป็นร้านค้าใหญ่ใน Traditional Trade หรือกลุ่มร้านค้า Modern Trade เพื่อสร้างอิมแพคไปสู่ผู้บริโภคได้อย่างเข้าถึงและถูกต้องตามกลยุทธ์รายช่องทาง ซึ่งจะผลักดันให้สินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคมากขึ้น

ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพาณิชย์ กล่าวว่า  บริษัทฯ เดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศในเชิงรุกให้ครอบคลุมกลุ่มประเทศ CLMV หลังได้เข้าไปทำตลาดที่ สปป.ลาวและกัมพูชาแล้ว ล่าสุดได้นำ ‘เชนไดร้ท์’ ทำตลาดเวียดนามและเมียนมาร์ ผ่านเทรดเดอร์และตัวแทนจัดจำหน่ายในช่วงไตรมาส 4 ภายใต้การดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดรับกับตลาดท้องถิ่น  (Local Market) โดยมุ่งพัฒนาและกระจายสินค้าผ่านช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่ พร้อมสื่อสารการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสร้างการรับรู้แบรนด์ วางเป้าหมายการขายกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มเป็น 10% ของรายได้รวมต่างประเทศ จากรายได้ครึ่งปีแรกที่มีสัดส่วน 5% ของรายได้รวมต่างประเทศทั้งหมด

ส่วนภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทย (Fast Moving  Consumer Goods) ในช่วงที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบ Covid-19 ส่งผล พฤติกรรมผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย โดยตลาดสเปรย์กำจัดแมลงได้รับผลกระทบ -3.4% อย่างไรก็ตาม แบรนด์ ‘เชนไดร้ท์’ ยังทำยอดขายเติบโต +6% และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มจาก 23% เป็น 26% (ข้อมูลนีลเส็นเดือน ม.ค.-ก.ค. 2564) โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าสิ้นปีจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 35%

แกะรอย.. หนังโฆษณา Coffee Series

เจ้าของสินค้า : บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน)

ชื่อสินค้า : ไดมอนด์ คาเฟ่ ร้านกาแฟสำเร็จรูปตราเพชร

ชื่อเรื่อง : Coffee Series

รูปแบบ : ภาพยนตร์ความยาว 75 วินาที 

ช่องทางสื่อสาร : 

1. สื่อออนไลน์ ได้แก่ Youtube, Facebook และ Instagram : DIAMONDBrandOfficial

2. สื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร 

3. สื่อ ณ จุดขาย ภายในร้านค้าตัวแทนจำหน่าย

ผู้สร้างสรรค์และผลิตโฆษณา : บริษัท วิว ไวด์ จำกัด          

บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ แผ่นบอร์ด ยิปซัม อิฐ คานทับหลัง เคาน์เตอร์มวลเบาสำเร็จรูป และบริการหลังการขายภายใต้เครื่องหมายการค้า ตราเพชร เป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างกลุ่มไฟเบอร์ซีเมนต์และมีประสบการณ์ในธุรกิจกว่า 35 ปี ต้องการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ไดมอนด์ คาเฟ่ ร้านกาแฟสำเร็จรูปตราเพชร แก่กลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยชูจุดแข็งด้านการออกแบบร้านกาแฟที่ตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานครบถ้วน มีหลายขนาดและโทนสีให้เลือก พร้อมติดตั้งด้วยทีมงานมืออาชีพ และสามารถควบคุมงบประมาณได้ตามที่กำหนด 

แนวคิดโฆษณา : ภาพยนตร์โฆษณา Coffee Series นำเสนอทางเลือกสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจร้านกาแฟ ซึ่งมุ่งตอบโจทย์การช่วยแก้ปัญหาด้านการสร้างร้านกาแฟด้วย ไดมอนด์ คาเฟ่ ร้านกาแฟสำเร็จรูปตราเพชร ที่ตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานร้านกาแฟอย่างครบถ้วน มีหลายขนาดและรูปแบบให้เลือกสรรตามต้องการ ก่อสร้างด้วยวัสดุคุณภาพสูง ส่งมอบความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยการรับประกันคุณภาพหลังการขาย อีกทั้งนำเสนอการตอบโจทย์ด้านการกำหนดงบประมาณการก่อสร้าง ที่ลูกค้าจะทราบล่วงหน้าและสามารถควบคุมได้ หมดความกังวลจากงบประมาณก่อสร้างบานปลาย

เนื้อเรื่องย่อ : เปิดเรื่องด้วย พรีเซนเตอร์หนุ่มคนรุ่นใหม่ทักทายกับผู้ชมว่า “ถ้าคุณฝันอยากเป็นเจ้าของร้านกาแฟ อยากมีร้านสวยๆ ฟังก์ชั่นครบ แต่มีงบจำกัดและไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี ให้ตราเพชรดูแลคุณสิครับ”  จากนั้น จึงนำเสนอคุณสมบัติของไดมอนด์ คาเฟ่ ร้านกาแฟสำเร็จรูปจากตราเพชร ได้แก่ การออกแบบและติดตั้งด้วยวัสดุคุณภาพตราเพชร ภายใต้งบประมาณที่ลูกค้าสามารถเลือกสรรได้ โดยมี 5 ขนาดให้เลือกตามต้องการ คือ 12, 16, 20, 40 และ 63 ตารางเมตร ซึ่งแต่ละขนาดมีให้เลือก 2 โทนสี ที่เป็นเอกลักษณ์ให้เลือกและมีชื่อสอดคล้องกับเมนูกาแฟ ได้แก่ เอสเปรสโซ่ โทนสีน้ำตาลเข้ม สะท้อนถึงความเท่ ทันสมัย สไตล์โมเดิร์น ลาเต้ โทนสีอ่อน ในบรรยากาศอบอุ่น เรียบง่าย สไตล์มินิมอล พร้อมการออกแบบภายใน ที่ตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานร้านกาแฟโดยเฉพาะ ทั้งเคาน์เตอร์ให้บริการและสำหรับวางสินค้า พื้นที่ทำงานครัว พื้นที่จัดเก็บวัตถุดิบและอุปกรณ์ พื้นที่สำหรับลูกค้าภายในร้าน ซึ่งใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพจากตราเพชร ติดตั้งด้วยทีมงานมืออาชีพ และมั่นใจด้วยการรับประกันหลังการขาย ก่อนจะจบด้วยพรีเซนเตอร์หนุ่มในชุดบาริสต้า ยืนอยู่หน้าร้านกาแฟ พร้อมเสียงปิดท้าย “มาเริ่มต้นเปิดร้านกาแฟ กับตราเพชร สิครับ คุณภาพเคียงคู่ร้านคุณ สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง”