Home Uncategorized เผยแนวทางฉีควัคซึน Pfizer ให้บุคลากรทางการแพทย์

เผยแนวทางฉีควัคซึน Pfizer ให้บุคลากรทางการแพทย์

399

กระทรวงสาธารณสุข แจงแนวทางการให้วัคซีนไฟเซอร์แก่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า 7 แสนโดสแบ่งฉีดเป็นบูสเตอร์โดส ฉีดเป็นเข็มที่สอง และผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อน ส่วนผู้ฉีดสูตรผสม, ฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม และผู้ที่ฉีดเข็มสามไปแล้ว จะขึ้นทะเบียนติดตามพิจารณาฉีดเมื่อมีข้อมูลวิชาการและวัคซีนเข้ามาเพิ่มเติม

นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และประธานคณะทำงานด้านบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 (Pfizer) กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับบริจาควัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 จำนวน 1,503,450 โดส คณะกรรมการบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 (Pfizer) ได้พิจารณาจัดสรรวัคซีนไปยังบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ครอบคลุมทั้งผู้ปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยโควิด 19 โดยตรงและผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 ทั่วประเทศ จำนวน 7 แสนโดส, ประชาชนกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ที่อยู่ในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด 645,000 โดส, ชาวต่างชาติ ที่เป็นผู้สูงอายุ 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย รวมถึงคนไทยที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา150,000 โดส, เพื่อศึกษาวิจัย 5,000  โดส และสำหรับควบคุมการระบาดจากสายพันธุ์เบต้า 3,450 โดส  ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดลำดับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในระยะนี้ หากมีวัคซีนเพิ่มเติมหรือส่วนต่างจากการจัดสรรจะมีการจัดสรรอีกครั้ง ทั้งนี้ หากมีรายชื่อตกหล่นหรือยังไม่ได้รับวัคซีนขอให้แจ้งมายังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ในกทม.แจ้งยังสำนักอนามัย เพื่อกระจายวัคซีนไปยังหน่วยฉีดต่อไป

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ในฐานะประธานคณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคกล่าวว่า วันนี้สถานทูตสหรัฐอเมริกาได้ส่งมอบวัคซีนไฟเซอร์บริจาค จำนวน 1,503,450 โดส อย่างเป็นทางการที่ทำเนียบรัฐบาล สำหรับการจัดสรรวัคซีนนั้นที่ประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2564 มีมติ เรื่องคำแนะนำการให้วัคซีนโควิด 19 ไฟเซอร์ในบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข 7 แสนโดส โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมาย คือ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าจากทั่วประเทศทุกคน รวมทั้งนักศึกษา และเจ้าหน้าที่ที่ต้องสัมผัสผู้ป่วยโควิด 19 จากการปฏิบัติงานเช่น แผนกผู้ป่วยนอก แผนกผู้ป่วยใน คลินิกทางเดินหายใจ ห้องฉุกเฉิน แผนกผู้ป่วยวิกฤต รพ.สนาม เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่กักกัน กลุ่มอาสาสมัครกู้ภัย พนักงานเก็บศพ หรือปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 อื่นๆ ตามการพิจารณาของสถานพยาบาลหรือหน่วยงานต้นสังกัด โดยมีหลักการให้วัคซีนดังนี้ บุคลากรที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคหรือซิโนฟาร์ม ครบ 2 เข็ม พิจารณาให้วัคซีนไฟเซอร์กระตุ้น 1 เข็ม

บุคลากรที่ได้รับวัคซีนมาแล้ว 1 เข็ม พิจารณาให้วัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2 โดยกำหนดระยะห่างระหว่างโดสตามชนิดของวัคซีนเข็มที่ 1 เป็นหลัก ผู้ที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีน พิจารณาให้วัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม ห่างกัน 3 สัปดาห์ และผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด 19 และไม่เคยได้วัคซีนมาก่อน พิจารณาให้วัคซีนไฟเซอร์ 1 เข็ม โดยมีระยะห่างจากวันที่พบการติดเชื้ออย่างน้อย 1 เดือน

นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เคยได้รับวัคซีนซิโนแวคเข็มแรกและแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 หรือสูตรสลับไขว้, วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม, วัคซีนซิโนแวค 2 เข็มและได้รับเข็มกระตุ้นด้วยแอสตร้าเซนเนก้า 1 เข็ม คณะอนุกรรมการฯ ยังไม่แนะนำให้วัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มกระตุ้น เนื่องจากการฉีดทั้ง 3 แบบ ยังมีภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับที่สูงเพียงพอ โดยให้ขึ้นทะเบียนรายชื่อไว้ เมื่อมีข้อมูลวิชาการสนับสนุน และมีวัคซีนที่เข้ามาเพิ่มขึ้น คณะกรรมการฯ จะพิจารณาฉีดให้ต่อไป เพื่อให้บุคลากรด่านหน้ามีภูมิคุ้มกันเพียงพอ ปฏิบัติหน้าที่อย่างมั่นใจ ให้ประชาชนปลอดภัย ระบบดูแลรักษาผู้ป่วยไม่หย่อนลง

ด้านพล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนแพทยสภา และทั้ง 7 สภาวิชาชีพขอขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการวัคซีนฯ  ที่แสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง พิจารณาบริบทของประเทศไทย และรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วน เพื่อช่วยกันปกป้องวงการแพทย์ให้ได้รับความปลอดภัย  ทั้ง แพทย์ พยาบาลผู้ปฏิบัติหน้าลงพื้นที่เชิงรุก บุคลากรทุกระดับ รวมถึงประชาชน ที่ต้องต่อสู้กับโควิด 19 ซึ่งการดำเนินงานอยู่ภายใต้หลักฐานทางวิชาการ นำไปสู่การวางแผนการและกระจายวัคซีนไฟเซอร์ด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เกิดความคุ้มค่า ส่วนบุคลากรที่เพิ่งได้รับการฉีดบูทสเตอร์โดสนั้น กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยและได้ติดตามหากมีข้อมูลทางวิชาการยืนยัน มั่นใจได้ว่าจะได้รับการฉีดไฟเซอร์ในอนาคตแน่นอน ซึ่งจะทำให้เกิดความปลอดภัย สำหรับสมาชิกแพทยสภาที่ลงทะเบียนรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในเข็ม 3 หากจะปรับเปลี่ยนสามารถแจ้งความประสงค์ได้ในเฟซบุคของแพทยสภา