Home สิ่งที่น่าสนใจ กองทรัสต์ AIMIRT เพิ่มทุนครั้งที่ 2

กองทรัสต์ AIMIRT เพิ่มทุนครั้งที่ 2

472

การเพิ่มทุนครั้งที่ 2 ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท (‘AIMIRT’) หรือ กองทรัสต์ ‘AIMIRT’ ซึ่งจะเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมรวมมูลค่าไม่เกิน 2,280 ล้านบาท ในกรรมสิทธิ์ในอาคารคลังสินค้าจำนวน 12 ยูนิต และสิทธิการเช่าอาคารคลังสินค้าระยะเวลา 30 ปี จำนวน 4 ยูนิต จาก 3 โครงการคุณภาพในจังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดระยอง ที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ภาคการผลิตและการขนส่งของประเทศ ชูศักยภาพกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% หนุนประมาณการผลตอบแทนในปีแรกเป็นอย่างน้อย 7.50%/1 ประกาศอัตราส่วนใช้สิทธิ์จองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิ์จองซื้อที่ 1 หน่วยทรัสต์เดิมต่อ 0.3233 หน่วยทรัสต์ใหม่ เสนอขายแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิ์จองซื้อวันที่ 5 – 9 กรกฎาคมนี้ และเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปในวันที่ 5 – 9 และ 12 – 13 กรกฎาคมนี้ ที่ราคาเสนอขายสูงสุดไม่เกิน 11.90 บาทต่อหน่วย   

นายอมร จุฬาลักษณานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์ ในฐานะผู้ก่อตั้งทรัสต์และผู้จัดการกองทรัสต์ AIMIRT เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้จัดการกองทรัสต์อิสระรายแรกในประเทศไทย โดยวางแนวทางนำกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ ขยายการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินใหม่อย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นคัดเลือกทรัพย์สินในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพและอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างรายได้และสามารถจ่ายผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ นับตั้งแต่กองทรัสต์ ‘AIMIRT’ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จนถึงไตรมาสที่ 1/2564 กองทรัสต์ AIMIRT ได้จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอทุกไตรมาสเป็นจำนวนรวมกว่า 2.6010 บาทต่อหน่วย โดยในไตรมาสที่ 1/2564 ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในอัตรา 0.2200 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสที่สูงที่สุดและเพิ่มขึ้นทุกไตรมาสอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด กองทรัสต์ AIMIRT ได้เดินหน้าเพิ่มทุนครั้งที่ 2 โดยจะเข้าลงทุนเพิ่มเติมในกรรมสิทธิ์อาคารคลังสินค้า จำนวน 12 ยูนิต และสิทธิการเช่าอาคารคลังสินค้าระยะเวลา 30 ปี จำนวน 4 ยูนิต รวมมูลค่าไม่เกิน 2,280 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 172,268,908 หน่วย เป็นมูลค่าไม่เกิน 1,980 ล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินประมาณ 300-600 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการเพิ่มทุนครั้งที่ 2 นี้ จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ เพิ่มขึ้นแตะระดับประมาณ 10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ 7,500 ล้านบาท และเป็นหนึ่งในกองทรัสต์กลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำในประเทศไทย

จรัสฤทธิ์ อรรถเวทยวรวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด

นายจรัสฤทธิ์ อรรถเวทยวรวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวต่อว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมถือว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ เช่น ธุรกิจสนามบิน โรงแรม ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน ฯลฯ อีกทั้งกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มที่มีความต้องการเช่าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรมการผลิต การส่งออก รวมทั้งการบริโภคภายในประเทศ ที่ยังสามารถขยายตัวและเติบโตได้ดีในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้กองทรัสต์ ‘AIMIRT’ มีผลการดำเนินงานที่มั่นคงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจุดเด่นของกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ คือการผสมผสานการลงทุนในทรัพย์สินประเภทอุตสาหกรรมที่หลากหลายทั้งอาคารคลังสินค้า อาคารโรงงาน อาคารคลังห้องเย็น และถังเก็บสารเคมีเหลว และทำเลที่ตั้งของทรัพย์สินที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญด้านการผลิตและโลจิสติกส์ของประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมปลายทางของผู้เช่ามีความหลากหลาย ไม่ได้กระจุกตัวแค่อุตสาหกรรมกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง ซึ่งปัจจุบัน กองทรัสต์ ‘AIMIRT’ มีพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งสิ้นกว่า 151,026 ตารางเมตร และมีความจุของถังเก็บสารเคมีเหลวให้เช่ารวม 85,580 กิโลลิตร โดยทุกโครงการมีอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% ต่อเนื่องมาโดยตลอด

ส่วนการลงทุนเพิ่มเติม ในทรัพย์สินใหม่ 3 โครงการ มีพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งสิ้น 117,338 ตารางเมตร ได้แก่ 1) กรรมสิทธิ์ในอาคารคลังสินค้าจำนวน 8 ยูนิต ของโครงการทิพย์ 5 และโครงการทิพย์ 8 (ส่วนลงทุนเพิ่มเติม) จังหวัดสมุทรปราการ จากกลุ่มบริษัท ทิพย์ โฮลดิ้ง จำกัด (‘กลุ่มทิพย์’) มีพื้นที่ให้เช่ารวม 35,774 ตารางเมตร ซึ่งกลุ่มทิพย์ ได้เป็นผู้ขายทรัพย์สินแก่กองทรัสต์ ‘AIMIRT’ มาก่อนหน้านี้เป็นจำนวน 9 ยูนิต 2) กรรมสิทธิ์ในอาคารคลังสินค้า จำนวน 4 ยูนิต ของโครงการเอ็มเอส แวร์เฮ้าส์ จังหวัดสมุทรปราการ จากบริษัท ทู ไทเกอร์ พร็อพ จำกัด พื้นที่ให้เช่ารวม 43,481 ตารางเมตร และ 3) สิทธิการเช่าระยะเวลา 30 ปี ในอาคารคลังสินค้า จำนวน 4 ยูนิต ของโครงการไทยแทฟฟิต้า จังหวัดระยอง จากบริษัท ไทยแทฟฟิต้า จำกัด พื้นที่ให้เช่ารวม 38,083 ตารางเมตร โดยทุกโครงการมีอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% และอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรมการผลิตและขนส่งของประเทศ ซึ่งภายหลังเข้าลงทุนเพิ่มเติม จะมีพื้นที่ให้เช่ารวมเพิ่มขึ้นเป็นทั้งหมด 268,364 ตารางเมตร และมีความจุของถังเก็บสารเคมีเหลวให้เช่ารวม 85,580 กิโลลิตร

ธนาเดช โอภาสยานนท์ กรรมการผู้จัดการร่วม บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด

นายธนาเดช โอภาสยานนท์ กรรมการผู้จัดการร่วม บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ประมาณการการจ่ายประโยชน์ตอบแทน (Dividend Yield) แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ภายหลังกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ เข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม อ้างอิงข้อมูลจากประมาณการการจ่ายประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ต่อหน่วย สำหรับงวด 12 เดือน ในช่วงเวลาประมาณการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ 0.8927/1 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ประมาณ 7.50%/1

ทั้งนี้ ภายหลังการเข้าลงทุนเพิ่มเติม กองทรัสต์ ‘AIMIRT’ จะมีโครงสร้างของประเภททรัพย์สินซึ่งมีความหลากหลายและกลุ่มผู้เช่าที่กระจายตัวอย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยจะมีสัดส่วนรายได้มาจากอาคารคลังสินค้าให้เช่า 49% ถังเก็บสารเคมีเหลว 31% อาคารคลังห้องเย็น 15% และอาคารโรงงาน 5% ซึ่งการลงทุนเพิ่มเติมนี้จะเป็นการเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มผู้เช่าและอุตสาหกรรมปลายทางได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ ในรูปแบบกรรมสิทธิ์ (Freehold) เป็น 61% และในรูปแบบสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) ที่ 39%

วีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวเพิ่มเติมว่า กองรีทส์ (REITs) ในช่วงที่ผ่านมายังคงเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ แม้ว่ามีสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะกองทรัสต์ในกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยจากสถานการณ์ COVID-19  โดยส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานและอัตราค่าเช่าอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมในบางกลุ่มธุรกิจ เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ (Logistics) และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก เป็นต้น

จุดเด่นของ กองทรัสต์ AIMIRT คือมีการกระจายตัวของทรัพย์สินในกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งอยู่บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าและการคมนาคมขนส่งที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของไทย มีสัดส่วนการลงทุนของทรัพย์สินทั้งประเภทกรรมสิทธิ์ (Freehold) และสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) อีกทั้ง มีประวัติผลการดำเนินงานและการจ่ายผลตอบแทนในระดับที่ดีอย่างสม่ำเสมอ

“AIMIRT ถือเป็นหนึ่งในกองทรัสต์กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจ่ายเงินปันผลโดดเด่นมาตลอด แม้ในปีที่ผ่านมาที่มีสถานการณ์ COVID-19 แต่ยังคงมีอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% และสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส ตอกย้ำถึงคุณภาพทรัพย์สินที่เข้าลงทุน จึงเป็นกองทรัสต์ที่เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะกลางและระยะยาวเพื่อรับผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง” นางสาววีณา กล่าว

นายกฤชกร นนทะนาคร ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย สายงานตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า หลังจากกองทรัสต์ ‘AIMIRT’ ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 2 และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหน่วยทรัสต์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ปัจจุบันได้รับการอนุมัติและมีผลใช้บังคับแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนแก่นักลงทุน โดยการลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้จะมีมูลค่ารวมไม่เกิน 2,280 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนจำนวน
ไม่เกิน 172,268,908 หน่วย มูลค่าไม่เกิน 1,980 ล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินประมาณ 300-600 ล้านบาท

สำหรับการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 2 จำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 172,268,908 หน่วย แบ่งเป็น (1) เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปที่เป็นผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิม (Preferential Public Offering: PPO) ที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนทะเบียนผู้ถือหน่วยทรัสต์ (Record Date) ในวันที่ 21 มิถุนายน 2564 ในสัดส่วนประมาณ 80% ของจำนวนหน่วยทรัสต์ที่เสนอขายในครั้งนี้ หรือประมาณ 137,815,126 หน่วย กำหนดอัตราส่วนใช้สิทธิ์จองซื้อที่ 1 หน่วยทรัสต์เดิม ต่อ 0.3233 หน่วยทรัสต์ใหม่ เสนอขายในวันที่ 5 – 9 กรกฎาคมนี้ ในเวลาทำการ ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยการจองซื้อผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด  (มหาชน) ผู้จองซื้อที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT หรือผ่านระบบจองซื้อออนไลน์ ที่ https://moneyconnect.krungthai.com ได้อีกหนึ่งช่องทาง โดยผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมสามารถจองซื้อตามสิทธิ เกินกว่า น้อยกว่า หรือสละสิทธิไม่จองซื้อก็ได้ และ (2) เสนอขายประชาชนทั่วไป (Public Offering: PO) ซึ่งรวมถึงนักลงทุนสถาบัน บุคคลธรรมดา และนิติบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย โดยสามารถจองซื้อได้ในวันที่ 5 – 9 และ 12 – 13 กรกฎาคมนี้ ในเวลาทำการ ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขาทั่วประเทศ (สำหรับช่องทางการจองซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT และระบบจองซื้อออนไลน์ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สามารถจองซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 5 – 13 กรกฎาคมนี้)

ทั้งนี้ หลังจากจัดสรรหน่วยทรัสต์ให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมตามสิทธิที่ได้รับจัดสรรแล้ว บริษัทฯ จะจัดสรรหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมที่เหลือให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่จองซื้อหน่วยทรัสต์เกินกว่าสิทธิที่ได้รับจัดสรรตามที่เห็นสมควร พร้อมกับหรือภายหลังการจัดสรรให้แก่ประชาชนทั่วไปหรือไม่ก็ได้

สำหรับผู้จองซื้อทุกรายจะต้องชำระเงินจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนที่ราคาเสนอขายสูงสุดที่ไม่เกิน 11.90 บาทต่อหน่วย และจะประกาศราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) วันที่ 14 กรกฎาคมนี้ ภายหลังจากการสำรวจความต้องการจองซื้อจากนักลงทุนสถาบัน (Book building) โดยกรณีที่ราคาเสนอขายหน่วยทรัสต์สุดท้ายต่ำกว่าราคาเสนอขายสูงสุด ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายจะคืนเงินส่วนต่างแก่ผู้จองซื้อทุกราย และคาดว่าบริษัทฯ จะนำหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในเดือนกรกฎาคม 2564