พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha” ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ต้องมีการประกาศมาตรการล็อกดาวน์ที่ต้องปิดสถานที่และกิจการต่างๆ เพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อพี่น้องประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตนเองได้รับรู้ปัญหาของพี่น้องกลุ่มต่างๆ และหาแนวทางช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอด
มาตรการล็อกดาวน์ในครั้งนี้ ได้สั่งการให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจเสนอมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้ได้มากที่สุด ซึ่งได้มีการประชุมไปแล้วเมื่อวานนี้ และคณะรัฐมนตรีได้ให้การเห็นชอบมาตรการที่นำเสนอในวันนี้ (13 ก.ค.) โดยมีรายละเอียดคือ มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ สำหรับลูกจ้างและกิจการใน 10 จังหวัดสีแดงเข้ม ขอบเขตของกิจการที่ได้รับการเยียวยา
กลุ่มที่ 1 มี 9 หมวดกิจการ ประกอบด้วย ก่อสร้าง ,ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ,ศิลปะ บันเทิงและนันทนาการ ,กิจกรรมการบริการด้านอื่นๆ ,ขายส่งขายปลีกและซ่อมยานยนต์ ,ขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ,กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุนกิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และกิจกรรมทางวิชาการ ข้อมูลข่าวสารและสื่อสาร
ส่วนกลุ่มที่ 2 มี 5 กิจการของถุงเงิน ประกอบด้วย ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ,ร้าน OTOP ,ร้านค้าทั่วไป ,ร้านค้าบริการ ,กิจการขนส่งสาธารณะ ทั้งนี้ระยะเวลาในการให้ความช่วยเหลือ 1 เดือน อาจมีการขยายต่อตามสถานการณ์
สำหรับรายละเอียดของการเยียวยา แบ่งตามกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบคือ ลูกจ้าง ม. 33 ในกิจการ 9 หมวด รัฐจะจ่ายเงินเยียวยาให้ 50% ของรายได้ สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท และจ่ายสมทบให้ลูกจ้างสัญชาติไทยอีก 2,500 บาทต่อคน รวมแล้วได้สูงสุด 10,000 บาท นายจ้าง ม. 33 ในกิจการ 9 หมวด รัฐจะจ่ายให้ตามจำนวนลูกจ้าง 3,000 บาทต่อราย สูงสุดไม่เกิน 200 คน ผู้ประกันตนตาม ม. 39 และ 40 รัฐบาลจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้ 5,000 บาทต่อคน // ผู้ประกอบอาชีพอิสระให้ขึ้นทะเบียนตาม ม. 40 ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อรับค่าช่วยเหลือ 5,000 บาท ผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างแต่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ให้ขึ้นทะเบียนตาม ม.33 ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อรับเงินช่วยเหลือ ผู้ประกอบการที่ไม่มีลูกจ้างและไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ให้ขึ้นทะเบียนตาม ม. 40 ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อรับค่าช่วยเหลือ 5,000 บาท ผู้ประกอบการในระบบ ถุงเงิน ภายใต้โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะ ที่มีลูกจ้างให้ขึ้นทะเบียนตาม ม.33 ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อรับเงินช่วยเหลือ ผู้ประกอบการในระบบถุงเงินที่ไม่มีลูกจ้าง ให้ขึ้นทะเบียนตาม ม. 40 ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อรับค่าช่วยเหลือ 5,000 บาท รวมทั้งสิ้นภายใต้กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน สำหรับประชาชนทั่วประเทศ ประกอบด้วย ค่าไฟฟ้า เป็นเวลา 2 เดือน คือกรกฎาคมและสิงหาคม 2564 สำหรับบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน ให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรก และบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน หากใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าหรือเท่ากับค่าไฟเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ให้คิดค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้จริง แต่หากใช้ไฟฟ้ามากกว่าค่าไฟเดือนกุมภาพันธ์ 2564 หากไม่เกิน 500 หน่วย ให้คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยของเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และหากใช้ 501 – 1,000 หน่วย ให้คิดค่าไฟเท่ากับหน่วยของเดือนกุมภาพันธ์ 2564 บวกด้วยหน่วยที่มากกว่าหน่วยของเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ในอัตราร้อยละ 50 รวมถึงหากใช้มากกว่า 1,000 หน่วย ให้คิดค่าไฟเท่ากับหน่วยของเดือนกุมภาพันธ์ 2564 บวกด้วยหน่วยที่มากกว่าหน่วยของเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ในอัตราร้อยละ 70 ทั้งนี้ให้เป็นส่วนลดก่อนการคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับกิจการขนาดเล็กให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 100 หน่วยแรก สำหรับกิจการขนาดกลาง ขนาดใหญ่ เฉพาะอย่าง องค์กรไม่แสวงหากำไร และการสูบน้ำเพื่อการเกษตร ให้ยกเว้นการเรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าต่ำสุด ไปจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2564 ส่วนค่าน้ำประปา ลดร้อยละ 10 สำหรับบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก ระยะเวลา 2 เดือนคือ กรกฎาคมและสิงหาคม 2564
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการความช่วยเหลือ บรรเทาค่าใช้จ่ายของประชาชนด้านอื่นๆเข่น การศึกษา ให้พิจารณาลดค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมต่างๆ ในภาคเรียนที่ 1 /2564
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า การเยียวยาในครั้งนี้ แม้ว่าจะต้องใช้งบประมาณพอสมควร แต่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบและมีความจำเป็น เพื่อช่วยให้พี่น้องประชาชนได้ผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้และรัฐบาลจะหาทางช่วยทุกท่านให้ได้มากที่สุดและจะไม่มีวันยอมแพ้ต่อสงครามครั้งนี้ ไม่ลดละเลิกล้มความพยายาม ไม่ว่าจะมีอุปสรรคหรือปัญหาใดๆ และจะสู้จนกว่าจะเอาชนะได้